พระอาทิตย์ใกล้จะตกแล้ว เรา ตาหนูเมอร์จึ้ น้องฮูปและพี่เซียง อยู่บนความเร็ว 140 Km/hr จุดหมายคือ 100 กม ห่างจากอำเภอเมืองฉะเชิงเทรา หรือ 180 กม ห่างจากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เชื่อไม๊ ว่าแค่ออกจากกรุงเทพมาชั่วโมง กว่าก็จะเจอกับทิวทัศน์ภูเขายืนเรียงเข้าแถวกันให้ถนนเส้นเล็กๆพาดผ่านตั้งกะหัวไหล่ไปยันตูด ภูเขาได้อย่างงี้
แนะนำตัวละคร
“ตาหนูเมอร์จี้ ” -- รถคู่บุญที่ได้มาจากการดื้อแพ่งกับที่บ้าน บอกแม่ว่าวันนี้ ดิ๊วจะไปทำงานนะ แล้วก็ขับมันออกมาดื้อๆเลย พร้อมกับตั้งปณิธานอย่างแน่วแน่ว่า รถคันนี้เป็นของกูแล้วตั้งชื่อให้ด้วย หลังจากนั้นก็ผจญภัยขึ้นเขาลงห้วยกับมันมาตลอดเรียกได้ว่าเป็นรถเบนซ์ที่ถูกabuseกลายเป็นรถฮีโน่เรนเจอร์ไปซะแล้ว
ชื่อเมอร์จี้ เอามาจาก Mercidez กระแดะดี หิ๊หิ๊ห่าห่า
(หิ๊หิ๊ห่าห่า เป็นคำลิขสิทธิ์ จากแม่นวล ของตาลแม่เค้าว่ามันเป็นเสียงหัวเราะตอแหลlyของสาวญี่ปุ่น เวลาหัวเราะทั่วไปแต่พอเอามาใช้ในภาษาไทยแล้วฮาร์ดคอร์ดีว่ะ ชอบ)
“น้องฮูป” --เป็นฮาร์ปที่เช่ามาจากที่เรียน ราคาเต็มประมาณ แปดหมื่นบาท(นี่เป็นราคาถูกที่สุดในโรงเรียนแล้ว) ตอนนี้ยังเช่าเป็นรายเดือนอยู่สถานะน้องฮูปจึงเป็นเพียงเมียเช่า ราคาเช่าเดือนละ สามพันห้าร้อยบาทเฉลี่ยแล้วก็คืนละร้อยกว่าบาท อาจจะแพงกว่าผีขนุน หน่อยนึงเคยพาเข้าบ้านแล้วดูเหมือนพ่อแม่ยังไม่ค่อยไฟเขียวเพราะเห็นว่าเป็นเพียงเมียเช่า(คงกลัวเราจะขอเงินไปสู่ขอ เค้าเข้าจริงๆ)พอเราย้ายราชการมาอยู่ในป่าเขาเช่นนี้น้องฮูปจึงต้องทำหน้าที่เป็นเมียทหารที่ดี ย้ายตามผัวมาด้วย อ้อน้องฮูปหนักเกือบยี่สิบโล เวลาจะยกย้ายทีหยั่งกะแบกข้าวสารกระสอบใหญ่แหน่ะเพราะงั้นพอคนถามว่าเรามีงานอดิเรกอะไร ก็จะตอบว่า ดนตรีคือเล่นฮาร์ป ส่วนกีฬาก็เล่นฮาร์ป ครับ เล่นฮาร์ปมาเกือบครบปีฝีมือเท่าเดิม แต่ล่ำขึ้นซะงั้น
“พี่เซียง.” – สิ่งมีชีวิตจริงๆเดียวที่อยู่บนรถกับเราขณะนั้นพี่เซียงเป็นนางพยาบาลประจำรพ.ท่าตะเกียบ (ติด)อยู่ที่รพนี้มา 7-8ปีแล้วรอลุ้นคำสั่งย้ายมาทุกปี ตอนนี้ก็เป็นพยาบาลซีเนียร์อยู่ในท่าตะเกียบนี้ถ้ายังอยู่ต่อไปเรื่อยๆ ครองตัวเป็นโสดอย่างนี้ คงไม่พ้น กลายเป็นสุสานหอยพาลจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่เอา
เรารู้จักกับพี่เซียงได้ประมาณ40 นาทีก่อนหน้านี้ที่รพ.เมืองฉะเชิงเทราพี่เซียงขอติดรถกลับเข้ารพ.ท่าตะเกียบด้วยถือเป็นบุญของเราที่ได้คนอาสาสมัครมานำทางอย่างนี้ เพราะ เส้นทางสู่รพ.ตะเกียบมีอุบายหลอกข้าศึกได้อย่างแยบยลหยั่งกะทางขึ้นปราสาทฮิเมจิ ของประเทศญี่ปุ่นถ้าสุ่มสี่สุ่มห้าขับตรงๆบนถนนสายหลักไปแบบบ้านบ้านมิรู้อิโหน่อิเหน่หวังว่าขับตามป้ายบอกทางว่า “รพ ท่าตะเกียบตรงไป” หล่ะก็จะเจอทางขาดที่เป็นเขื่อนมีน้ำท่วมมิดถนนและท่วมมิดคันรถได้เชียว
พี่เซียงเสริมข้อมูลให้ว่าถนนสายหลักนี้จะใช้งานไม่ได้ ประมาณปีละ6เดือนเพราะเขื่อนจะกักน้ำไว้ใช้จนน้ำสูงมาท่วมมิดอย่างนี้เพราะฉะนั้นการจะเข้าถึงรพได้จะต้องใช้เส้นทางเสริม เป็นถนนเล็กๆง่อยๆต้องตั้งสติดีๆถึงจะเห็น โดยถนนนี้จะอ้อมเขาไปอีกประมาณ 10 กิโลเมตรถึงจะถึงโรงพยาบาล เรารู้สึกอยากผ่อนเรือหางยาวซักลำ ไว้ใช้ขับมาทำงานขึ้นมาตะหงิดตะหงิด
เนี่ย ถ้าขับไปตรงๆโง่ๆ จู่ถนนหายกลายเป็นทะเลสาป เฉย
แฮ่....แล้วก็มาถึงจนได้มีวัวอยู่หน้าฮอสปิ ด้วยนะ
พูดถึงขับรถทางไกลอย่างนี้แล้วก็หวาดๆในตัวเองอยู่ เพราะปีนี้ ก็ได้ข่าวเพื่อนทั้งที่อยู่ใกล้ไกล หลายๆคนประสพอุบัติเหตุทางรถยนต์กัน แต่ก็โชคดีที่ไม่ถึงชีวิต ที่หนักๆที่นึกออก ก็มีเรื่องของสมพรที่ขับแหกโค้ง รถกระโปรงหน้ายุบ แต่เจ้าตัวไม่เป็นอะไรมีแค่แขนเคล็ด กับกระดองเต่าบิ่น (ฮา)
อีก 2 เคสเป็นเพื่อนอินเทิร์นที่ทำงานใช้ทุนที่แปดริ้วกับเรา
นางสาว จ .(ขอใช้นามแฝงละกัน ไม่ค่อยสนิท ) จบจากรังสิตจ.เป็นสาวไทยหน้าคมจมูกโด่งเป็นกระโดงเรือ บุคคลิกอัธยาศรัยดีพูดจาไพเราะเป็นที่ต้องใจของหลายๆหนุ่ม ลักษณะนิสัยของจ. ถ้าให้diag ก็น่าจะเป็น typicalสาม ยิ่งเราเคย(เสือกไป) เห็นหนังสืออ่านนอกเวลาของเจ้าหล่อน ชื่อ“คู่มือการมัดใจคน”แล้วยิ่งคอนเฟริมdiagใหญ่ เรากะเพื่อนขาเม้าท์เรียกกันภายใน ว่า “จ. 2ดั้ง”ไม่ใช่ว่าเพราะเจ้าหล่อน เป็นปรมาจารย์สายดำของเทควันโด ยูโด หรือยิวยิตสู ใดๆ แต่เป็นการตั้งตามที่มาจากดั้งจมูกของเธอดั้งแรก เป็นดั้งจมูกธรรมชาติส่วนอีกดั้งเป็นดั้งซิลิโคนจากพลาสติกเซอเจอรี่ (มันไม่ค่อยเนียนอ่ะนะแบบว่าดั้งเป็นดั้ง เห็นเป็นสันเป็นเหลี่ยมเลย ) และแล้ววันหนึ่ง ด้วย curse ofเบญจเพส จ. ก็ประสพอุบัติเหตุขับรถแหกโค้งชนต้นไม้ รถยุบทั้งคันโชคดีที่จ.ได้รับบาดเจ็บเพียงบาดแผลถลอกที่ใบหน้ากับแผลฉีกขาดเล็กน้อย คำแรกที่พวกเราถามถึงเธอเมื่อได้ยินข่าวนี้คือ “แล้วจมูกเค้าเป็นไงมั่ง”ปรากฏว่าจมูกปลอดภัยครับ อุบัติเหตุครั้งนี้ นอกจากจ.จะรอดชีวิตแล้วจ.จึงยังรอดจากการถูก พวกเราเรียก “ จ. สามดั้ง”มาได้อย่างหวุดหวิด
อีกคนหนึ่ง
อุ้ย เป็นอินเทร์นจากมศว.พิษณุโลกลักษณะตัวท้วมใหญ่บุคคลิกลุยๆนักเลง เป็นผู้ที่ถึกเป็นอันดับหนึ่งของอินเทิร์นรุ่นเรา เพราะอุ้ยรับซื้อเวรทุกเวรที่มันว่างโดยไม่สนว่าตัวเองจะต้องมีเวลานอนกินขี้ปี้เยี่ยวใดใด เพื่อจุดมุ่งหมายซื้อบ้านเป็นของตัวเองอุ้ยเล่าว่าตอนเรียนอยู่ มันเคยอดหลับอดนอนแล้วขับรถกลับกรุงเทพ ตามองถนนอยู่ พอกระพริบตาแล้วลืมตาก็เห็นหัวรถปักอยู่ในคูแล้ว …มันยังคงยืนยันว่าไม่ได้หลับใน แค่หลับตาแป๊บเดียว
วันหนึ่ง เราอยู่เวรดึกER พอเริ่มเช้า ประมาณ 7โมงเพื่อนพยาบาลที่อยู่เวรกับเรา ก็เดินมาบอกเราว่า“ดิ๊วๆขับรถไปรับอุ้ยหน่อยสิอุ้ยมันขับรถกลับมาจากการไปอยู่เวร แล้วมันขับรถลงคูอยู่ที่…ตอนนี้ยังติดอยู่ในรถอยู่เลย มันพึ่งโทรมาบอก” เราได้ยินก็ตกใจรีบวิ่งออกจากER (ตามเพื่อนเวรในมาอยู่เวรแทน)ก่อนจะขึ้นรถก็หันไปคว้าอิฐบล็อกขึ้นรถมาด้วย ก้อนใหญ่ก้อนนึงก้อนเล็กขนาดพอดีมือก้อนนึงวาดภาพอย่างเท่ห์ๆ ว่าตอนตัวเองไปถึง คงจะมีไทยมุงแล้วก็มีรถปักอยู่ในหนองน้ำเห็นไอ้อุ้ยพยายามทุบกระจกรถอยู่ข้างในแล้วกะว่าพอไปถึงนะเราก็จะตะโกนเคลียร์ทางพวกไทยมุง“ หลบไป ! ”แล้วก็เขวี้ยงอิฐบล็อกไปที่กระจกรถ กระจกแตก (ถึงได้เอาหินไป2ก้อนเผื่อก้อนเล็กมันจะเบาไป) อุ้ยก็จะพยายามคลานออกมา แข่งกับรถที่กำลังจมเรื่อยๆแล้วก็คลานออกมาทันได้อย่างหวุดหวิดที่รถจมลงไปทั้งคันพอดี( จะยิ่งดีถ้าได้ตะโกนว่า “step back!!” แล้วมีsub thai แปลข้างล่าง แล้วตอนอุ้ยคลานออกมารถก็ระเบิดไล่หลังมาอย่างหวุดหวิด) เราคิดเพ้อเจ้อไป พอขับไปถึงที่เกิดเหตุก็เจอไอ้อุ้ยออกมายืนคนเดียวอยู่ข้างคูเนื้อตัวมอมแมมโคลนเคลือบขาทั้งสองข้างมาถึงเข่า เราแอบสบถในใจ “ เชี่ย!เสือกออกมายืนทำไมเนี่ยมึง”
พอเคลียร์เรื่องประกันเสร็จ อุ้ยก็มาขึ้นรถเรามันก็ถาม นี่หินอะไร“ อ๋อ...ไม่มีอะไร โยนโยนทิ้งไปเหอะ.” (เสียงเคืองๆ)
ทำตัวเป็นบริษัทประกันครับลงไปถ่ายรูปใหญ่เลย เสือกเรื่องชาวบ้าน แล้วยังเอารูปเค้ามาลงบลอกอีก หัวปักลงไปก่อน แล้วตูดถึงบิดไป180องศาถ้าปักใกล้อีก1.5เมตร ก็ชนเสาไฟอันเบิ้มนั้น คาที่!!!
สภาพ ผู้รอดตาย