วันศุกร์ที่ ๑๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

บ้านลูกชุบ

กราบขออภัยแฟนานุแฟนทั้งหลาย ที่ข้าพเจ้าเจ็ดแตกโพละไปตั้งแต่กระทู้ที่สอง


แต่ขอยืนยัน ว่าต้นฉบับทำเสร็จไปแปดตอนแล้ว ( แน้! ทำตัวเหมือน เจเค โรลลิ่ง)


พอดี ตอนนี้ว่าจะลงรูปของกิฟท์ด้วยหน่ะ แต่สุดท้ายก็หารูปไม่ได้





เริ่มเลยละกันนะ เอ้า สาม......สี่











บ้านลูกชุบ

ข้อดีข้อหนึ่งของการเป็นหมอที่โรงพยาบาลชุมชน ( จริงๆแล้วชอบเรียกโรงพยาบาลว่าฮอสปิ มากกว่าหล่ะ น่ารักดี หิ๊หิ๊ห่าห่า ) ก็คือ ได้บ้านพักเป็นของตัวเอง ที่ท่าตะเกียบนี้ เค้าก็ให้บ้านหนึ่งหลังเลยเช่นกัน เป็นบ้านไม้ 2 ชั้น บ้านแต่ละหลังที่นี่เค้าจะตั้งชื่อเป็นขนมไทยต่างๆไว้ เช่น ทองหยิบ ทองหยอด ขนมโก๋


แอบรู้สึกว่า คนที่รับผิดชอบเรื่องบ้านพักเนี่ย ต้องเป็นคนที่ชอบตั้งชื่อให้สิ่งของ เหมือนเรา แน่ๆ เลยแอบเคืองนิดๆ ว่าบ้านโดนตัดหน้าตั้งชื่อไปแล้ว ทั้งๆที่เราก็มีเฉี่ยนชื่อบ้านไว้แล้วได้แก่ คุณบ้านสุดา , คุณบ้านกู , คุณบ้านแมงมุมนรก
( “เฉี่ยน”เป็นภาษาหมอ มาจาก differential diagnosis—>ดิฟเฟอเรนเฉี่ยน –>เฉี่ยน == ใช้ในความหมายว่า มีตัวเลือก , มีช้อยส์ )

ด้วยความหมั่นไส้ เลยเล็งอยู่ว่า ถ้าวันไหนป้ายชื่อมันลอก จะพ่นสีทับให้ชื่อ Banoffi ข่มบ้านข้างๆที่ชื่อบ้าน ขนมหม้อแกง คงดูเป็นเรือนนายกะเรือนบ่าวดี

เพื่อนบ้านเรา เป็นพี่ที่ทำงานบริหาร อายุเกือบห้าสิบกว่า มีลูกชายอายุประมาณยี่สิบ เป็นออทิสติก นี่ก็มีเรื่องมันมัน อีก ไว้จะเล่าให้ฟังในตอนหน้าๆ นะ (ก็จะอัพถึง กูเรียนจบหมอตาพอดี)



นี่ รูป "บ้านลูกชุบ" (เชอะ) หน้าต่างข้างบนเป็นห้องนอนเรา เพดานไม่ได้เสริมฝ้า เวลากลับมานอนกลางวัน จะร้อนตับแล่บ แทบต้องเปิดเส้นโหลดi.v. กับทาsunblock ก่อนนอน ไม่งั้น dehydrate กะ second degree burn ตายได้


บ้านหลังนี้เรามาอยู่ต่อจาก นัท (เป็นเพื่อนวชิระ ที่ใช้ทุนที่แปดริ้วด้วยกัน มาอยู่ท่าตะเกียบ 3เดือนก่อนเรา) จริงๆแล้วมีบ้านว่างอยู่สองหลัง ซึ่งอีกหลังนึงมีแอร์ แต่บ้านลูกชุบนี้ไม่มีแอร์ ก็เลยถามนัทว่าทำไมถึงไม่ไปอยู่หลังที่มีแอร์หล่ะ นัทตอบ “ ไม่มีแอร์ แต่ก็ไม่มีผี ” .....โอเค จบข่าว
สภาพบ้านยังดูใหม่ สะอาดพอควร ไม่มีห้องครัว (ถือเป็นปัจจัยที่ห้าของเรา) มีพัดลม โทรศัพท์ไว้จิกหมอเวลาอยู่เวร เตียงนอนที่สูงจากพื้นเกือบเมตร( สาบานว่าเตียง ไม่ใช่เวทีเซ็กซ์โชว์ ) ไม่มีตู้เสื้อผ้า ไม่มีทีวี ไม่มีตู้เย็น.... แต่ มีหิ้งพระ พร้อมหลวงพ่อ1 องค์ พร้อมธูปสำหรับใช้สักก่ระ สามเดือน พร้อมซากดอกไม้เก่าเก่าอีกกองนึง !!! เฮ้ย !
(บ้านหลังนี้ไม่มีแอร์ และก็มี... รึเปล่าวะ นัท)
เราเลยตัดสินใจ เอาถุงการบูนหอมกลิ่นมะลิ+น้ำอบไทย วางไว้ทั่วบ้าน ด้วยกะว่าจะเป็นแผนซ่อนใบไม้ในป่า ถ้าผีมา เท่าที่เคยรู้มาจากรายทีวีประเทืองปัญญาทั้งหลายเค้าว่า มักจะมาเป็นกลิ่นน้ำอบ จะได้พอหลอกตัวเองได้ว่า อ๊ะ กลิ่นการบูนหอมเดิมเราเองแหล่ะ

กิฟท์ เป็นเพื่อนสนิทเราที่ใช้ทุนที่แปดริ้วด้วยกัน ( กิฟท์=วรุตม์ ก็เพื่อนสนิทนะ โอ๋โอ๋) จบจากจุฬา เกรดเฉลี่ยไฮโซ 3.7 กิฟท์ถ่อมตัวว่า เค้าก็ได้กันประมาณนี้กันทั้งคณะแหละ (คณะแพทย์นะหล่อน ไม่ใช่โรงงาน ISO 9001 ถึงจะได้ผลิตเด็กออกมาคุณภาพเดียวกันหมดได้ ที่ไหนมีA ที่นั่นมีD โว้ย )

บรรยายสรรพคุณของกิฟท์กันต่อ พยาบาลเรียกกิฟท์กันว่าหมอบาร์บี้ เนื่องจากการแต่งกายที่ฉูดฉาดตั้งกะหัวจรดเท้า แต่ที่สำคัญคือแอกเซสซารี่ทั้งตัวล้วนเป็นของแบรนด์เนมแท้ๆ ที่หม่อมแม่ของกิฟท์จะหิ้วมาให้จาก ฮองคอง(Hongkong) เป็นอย่างใกล้ที่สุด กระเป๋าถือที่เห็นที่พาราก้อนในตู้กระจกพราด้า เฮอเมส กุชชี่ แว๊บๆเมื่อปลายสัปดาห์ อีกซักสองสามวัน ก็จะเห็นห้อยอยู่บนแขนเธอแล้ว (แต่หล่อนมักเอาไว้ใช้บรรทุก text พ็อกเกตบุคแฮริสัน อะไรพวกเนี้ย เสียของสิ้น) รถที่กิฟท์ขับคือบีเอ็มซีรี่ส์3สีดำ (เราตั้งชื่อให้ว่า คุณดำรงค์)
นอกจากชีวิตที่ดูเพอร์เฟคของกิฟท์แล้ว กิฟ์ทยังมีนิสัยเป็นเพอร์เฟคชั่นนิสต์อย่างรุนแรงด้วย กิฟท์ยืนยันว่าตัวเองป่วยทางจิตเป็น OCD (obscessive-compulsive disorder) และปฏิเสธหูแว่วภาพหลอน หลังจากเราได้เอาเรื่องเอนเนียแกรมมาเผยแพร่ให้กิฟท์ เธอก็เริ่มเข้าใจในความเป็นลักษณ์หนึ่ง ของตัวเองมากขึ้น เธอบอกว่าเธอออฟเซสกับการเรียน การreviewประวัติคนได้เป็นวันๆ จริงครับ วีรกรรมออฟเซสของเธอได้แก่ การทำแกรนด์ราวน์คนไข้หวอดmed(หมายถึง หอผู้ป่วยอายุรกรรมหน่ะ ซึ่งจะมีคนไข้ที่ต้องรับผิดชอบประมาณ 40-50เตียง ) ของตัวเองในวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ตั้งแต่แปดโมงเช้าถึงห้าโมงเย็น!! , อัลต้าซาวน์หาfemur length (เพื่อดูอายุครรภ์) ที่ห้องคลอด เคสนึงตั้งแต่ ตีสี่ครึ่งถึงหกโมงเช้า


เหมือนเหมือนกับทุกคณะที่มีคนมากกว่า20คนขึ้นไป คณะนั้นก็มักจะต้องมีคนชื่อกิฟท์มากกว่า1คนด้วย รู้สึกว่ากิฟท์ที่จุฬา จะถูกเรียกว่า กิฟท์self เวลามีงานเลี้ยงคืนสู่เหย้าประจำปีของแพทย์จุฬา ( เรียกว่างานhomeป่ะ?) งานจะกำหนด theme ที่ต้องแต่งตัวมา เช่น Hollywood celeb , 60’s , Indian, etc. แน่นอน กิฟท์จะต้องได้ถูกเสนอชื่อ หรือไม่ก็ชนะได้รางวัลการแต่งกายในปีนั้นๆ เธอเคยแต่งเป็นคลีโอพัตรา , สาวพั้งค์ร็อคเกอร์ใส่บูทแบบ Jessica Simpson ปีล่าสุดคอนเซปต์ Masquerade กิฟท์ สั่งตัดชุด แนวกอธโลลิ (โกธิค +โลลิค่อน— นึกถึงชุดพระนางเจ้าอลิซาเบธ กระโปรงบานฟู แต่ อแดป ให้กระโปรงสั้นจู๋ ดูเด็กๆลงนะ) แถมสีชมพูช็อคกิ้งพิ้งค์ (ยิ่งช็อคมากขึ้น เมื่อผู้สวมใส่หาใช่สาววัยทีน แต่เป็นสาวทำงานวัยเราเรา ) กิฟท์บอกว่าชุดปีนี้แรง ใส่เดินสยามแล้วอายจัง ไม่เหมือนเมื่อปีก่อนๆ.....( หล่อนใส่ชุดคลีโอพัตราเดินสยามมาแล้วเรอะ!!!??)

กิฟท์ส่งรูปmms ที่ถ่ายที่สยามมาให้ด้วยหล่ะ แต่เราลบทิ้งไปแล้ว เสียดายจัง ( รอดตัวไปนะเธอ)

กิฟท์ได้ออกฮอสปิชุมชนที่อำเภอข้างๆอำเภอเรา โชคร้ายที่บ้านพักของเธอเต่าถุยกว่าบ้านของเรา กิฟท์เล่าให้ฟังอย่างตกใจว่า ขณะที่เธอย้ายของเข้าบ้านพัก เธอก็จะคอยอุทาน “อี๋ย์!โลว์ อี๋ย์!โลว์” อยู่ตลอด พร้อมทำตัวออกจริตเหมือนตัวเองอยู่ในเรียลลิตี้โชว์ไฮโซบ้านนอก ขณะสำรวจบ้านปากก็ยังคอยพูด อี๋ย์ โลว์ ไปได้ซักพัก ทันใดนั้นประตูห้องหนึ่งก็ถูกเปิดออกมา ผู้หญิงอายุประมาณ 30ต้นๆออกจากประตูนั้นมามองกิฟท์นิ่งๆ ...คือกิฟท์ลืมไปหน่ะว่าบ้านที่เธออยู่ จะต้องแชร์กับstaff ด้วย ถือเป็นการสร้างความหมั่นไส้กันไว้ตั้งกะเฟิร์สอิมเพรสชั่นเลย