วันศุกร์ที่ ๑๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

บ้านลูกชุบ

กราบขออภัยแฟนานุแฟนทั้งหลาย ที่ข้าพเจ้าเจ็ดแตกโพละไปตั้งแต่กระทู้ที่สอง


แต่ขอยืนยัน ว่าต้นฉบับทำเสร็จไปแปดตอนแล้ว ( แน้! ทำตัวเหมือน เจเค โรลลิ่ง)


พอดี ตอนนี้ว่าจะลงรูปของกิฟท์ด้วยหน่ะ แต่สุดท้ายก็หารูปไม่ได้





เริ่มเลยละกันนะ เอ้า สาม......สี่











บ้านลูกชุบ

ข้อดีข้อหนึ่งของการเป็นหมอที่โรงพยาบาลชุมชน ( จริงๆแล้วชอบเรียกโรงพยาบาลว่าฮอสปิ มากกว่าหล่ะ น่ารักดี หิ๊หิ๊ห่าห่า ) ก็คือ ได้บ้านพักเป็นของตัวเอง ที่ท่าตะเกียบนี้ เค้าก็ให้บ้านหนึ่งหลังเลยเช่นกัน เป็นบ้านไม้ 2 ชั้น บ้านแต่ละหลังที่นี่เค้าจะตั้งชื่อเป็นขนมไทยต่างๆไว้ เช่น ทองหยิบ ทองหยอด ขนมโก๋


แอบรู้สึกว่า คนที่รับผิดชอบเรื่องบ้านพักเนี่ย ต้องเป็นคนที่ชอบตั้งชื่อให้สิ่งของ เหมือนเรา แน่ๆ เลยแอบเคืองนิดๆ ว่าบ้านโดนตัดหน้าตั้งชื่อไปแล้ว ทั้งๆที่เราก็มีเฉี่ยนชื่อบ้านไว้แล้วได้แก่ คุณบ้านสุดา , คุณบ้านกู , คุณบ้านแมงมุมนรก
( “เฉี่ยน”เป็นภาษาหมอ มาจาก differential diagnosis—>ดิฟเฟอเรนเฉี่ยน –>เฉี่ยน == ใช้ในความหมายว่า มีตัวเลือก , มีช้อยส์ )

ด้วยความหมั่นไส้ เลยเล็งอยู่ว่า ถ้าวันไหนป้ายชื่อมันลอก จะพ่นสีทับให้ชื่อ Banoffi ข่มบ้านข้างๆที่ชื่อบ้าน ขนมหม้อแกง คงดูเป็นเรือนนายกะเรือนบ่าวดี

เพื่อนบ้านเรา เป็นพี่ที่ทำงานบริหาร อายุเกือบห้าสิบกว่า มีลูกชายอายุประมาณยี่สิบ เป็นออทิสติก นี่ก็มีเรื่องมันมัน อีก ไว้จะเล่าให้ฟังในตอนหน้าๆ นะ (ก็จะอัพถึง กูเรียนจบหมอตาพอดี)



นี่ รูป "บ้านลูกชุบ" (เชอะ) หน้าต่างข้างบนเป็นห้องนอนเรา เพดานไม่ได้เสริมฝ้า เวลากลับมานอนกลางวัน จะร้อนตับแล่บ แทบต้องเปิดเส้นโหลดi.v. กับทาsunblock ก่อนนอน ไม่งั้น dehydrate กะ second degree burn ตายได้


บ้านหลังนี้เรามาอยู่ต่อจาก นัท (เป็นเพื่อนวชิระ ที่ใช้ทุนที่แปดริ้วด้วยกัน มาอยู่ท่าตะเกียบ 3เดือนก่อนเรา) จริงๆแล้วมีบ้านว่างอยู่สองหลัง ซึ่งอีกหลังนึงมีแอร์ แต่บ้านลูกชุบนี้ไม่มีแอร์ ก็เลยถามนัทว่าทำไมถึงไม่ไปอยู่หลังที่มีแอร์หล่ะ นัทตอบ “ ไม่มีแอร์ แต่ก็ไม่มีผี ” .....โอเค จบข่าว
สภาพบ้านยังดูใหม่ สะอาดพอควร ไม่มีห้องครัว (ถือเป็นปัจจัยที่ห้าของเรา) มีพัดลม โทรศัพท์ไว้จิกหมอเวลาอยู่เวร เตียงนอนที่สูงจากพื้นเกือบเมตร( สาบานว่าเตียง ไม่ใช่เวทีเซ็กซ์โชว์ ) ไม่มีตู้เสื้อผ้า ไม่มีทีวี ไม่มีตู้เย็น.... แต่ มีหิ้งพระ พร้อมหลวงพ่อ1 องค์ พร้อมธูปสำหรับใช้สักก่ระ สามเดือน พร้อมซากดอกไม้เก่าเก่าอีกกองนึง !!! เฮ้ย !
(บ้านหลังนี้ไม่มีแอร์ และก็มี... รึเปล่าวะ นัท)
เราเลยตัดสินใจ เอาถุงการบูนหอมกลิ่นมะลิ+น้ำอบไทย วางไว้ทั่วบ้าน ด้วยกะว่าจะเป็นแผนซ่อนใบไม้ในป่า ถ้าผีมา เท่าที่เคยรู้มาจากรายทีวีประเทืองปัญญาทั้งหลายเค้าว่า มักจะมาเป็นกลิ่นน้ำอบ จะได้พอหลอกตัวเองได้ว่า อ๊ะ กลิ่นการบูนหอมเดิมเราเองแหล่ะ

กิฟท์ เป็นเพื่อนสนิทเราที่ใช้ทุนที่แปดริ้วด้วยกัน ( กิฟท์=วรุตม์ ก็เพื่อนสนิทนะ โอ๋โอ๋) จบจากจุฬา เกรดเฉลี่ยไฮโซ 3.7 กิฟท์ถ่อมตัวว่า เค้าก็ได้กันประมาณนี้กันทั้งคณะแหละ (คณะแพทย์นะหล่อน ไม่ใช่โรงงาน ISO 9001 ถึงจะได้ผลิตเด็กออกมาคุณภาพเดียวกันหมดได้ ที่ไหนมีA ที่นั่นมีD โว้ย )

บรรยายสรรพคุณของกิฟท์กันต่อ พยาบาลเรียกกิฟท์กันว่าหมอบาร์บี้ เนื่องจากการแต่งกายที่ฉูดฉาดตั้งกะหัวจรดเท้า แต่ที่สำคัญคือแอกเซสซารี่ทั้งตัวล้วนเป็นของแบรนด์เนมแท้ๆ ที่หม่อมแม่ของกิฟท์จะหิ้วมาให้จาก ฮองคอง(Hongkong) เป็นอย่างใกล้ที่สุด กระเป๋าถือที่เห็นที่พาราก้อนในตู้กระจกพราด้า เฮอเมส กุชชี่ แว๊บๆเมื่อปลายสัปดาห์ อีกซักสองสามวัน ก็จะเห็นห้อยอยู่บนแขนเธอแล้ว (แต่หล่อนมักเอาไว้ใช้บรรทุก text พ็อกเกตบุคแฮริสัน อะไรพวกเนี้ย เสียของสิ้น) รถที่กิฟท์ขับคือบีเอ็มซีรี่ส์3สีดำ (เราตั้งชื่อให้ว่า คุณดำรงค์)
นอกจากชีวิตที่ดูเพอร์เฟคของกิฟท์แล้ว กิฟ์ทยังมีนิสัยเป็นเพอร์เฟคชั่นนิสต์อย่างรุนแรงด้วย กิฟท์ยืนยันว่าตัวเองป่วยทางจิตเป็น OCD (obscessive-compulsive disorder) และปฏิเสธหูแว่วภาพหลอน หลังจากเราได้เอาเรื่องเอนเนียแกรมมาเผยแพร่ให้กิฟท์ เธอก็เริ่มเข้าใจในความเป็นลักษณ์หนึ่ง ของตัวเองมากขึ้น เธอบอกว่าเธอออฟเซสกับการเรียน การreviewประวัติคนได้เป็นวันๆ จริงครับ วีรกรรมออฟเซสของเธอได้แก่ การทำแกรนด์ราวน์คนไข้หวอดmed(หมายถึง หอผู้ป่วยอายุรกรรมหน่ะ ซึ่งจะมีคนไข้ที่ต้องรับผิดชอบประมาณ 40-50เตียง ) ของตัวเองในวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ตั้งแต่แปดโมงเช้าถึงห้าโมงเย็น!! , อัลต้าซาวน์หาfemur length (เพื่อดูอายุครรภ์) ที่ห้องคลอด เคสนึงตั้งแต่ ตีสี่ครึ่งถึงหกโมงเช้า


เหมือนเหมือนกับทุกคณะที่มีคนมากกว่า20คนขึ้นไป คณะนั้นก็มักจะต้องมีคนชื่อกิฟท์มากกว่า1คนด้วย รู้สึกว่ากิฟท์ที่จุฬา จะถูกเรียกว่า กิฟท์self เวลามีงานเลี้ยงคืนสู่เหย้าประจำปีของแพทย์จุฬา ( เรียกว่างานhomeป่ะ?) งานจะกำหนด theme ที่ต้องแต่งตัวมา เช่น Hollywood celeb , 60’s , Indian, etc. แน่นอน กิฟท์จะต้องได้ถูกเสนอชื่อ หรือไม่ก็ชนะได้รางวัลการแต่งกายในปีนั้นๆ เธอเคยแต่งเป็นคลีโอพัตรา , สาวพั้งค์ร็อคเกอร์ใส่บูทแบบ Jessica Simpson ปีล่าสุดคอนเซปต์ Masquerade กิฟท์ สั่งตัดชุด แนวกอธโลลิ (โกธิค +โลลิค่อน— นึกถึงชุดพระนางเจ้าอลิซาเบธ กระโปรงบานฟู แต่ อแดป ให้กระโปรงสั้นจู๋ ดูเด็กๆลงนะ) แถมสีชมพูช็อคกิ้งพิ้งค์ (ยิ่งช็อคมากขึ้น เมื่อผู้สวมใส่หาใช่สาววัยทีน แต่เป็นสาวทำงานวัยเราเรา ) กิฟท์บอกว่าชุดปีนี้แรง ใส่เดินสยามแล้วอายจัง ไม่เหมือนเมื่อปีก่อนๆ.....( หล่อนใส่ชุดคลีโอพัตราเดินสยามมาแล้วเรอะ!!!??)

กิฟท์ส่งรูปmms ที่ถ่ายที่สยามมาให้ด้วยหล่ะ แต่เราลบทิ้งไปแล้ว เสียดายจัง ( รอดตัวไปนะเธอ)

กิฟท์ได้ออกฮอสปิชุมชนที่อำเภอข้างๆอำเภอเรา โชคร้ายที่บ้านพักของเธอเต่าถุยกว่าบ้านของเรา กิฟท์เล่าให้ฟังอย่างตกใจว่า ขณะที่เธอย้ายของเข้าบ้านพัก เธอก็จะคอยอุทาน “อี๋ย์!โลว์ อี๋ย์!โลว์” อยู่ตลอด พร้อมทำตัวออกจริตเหมือนตัวเองอยู่ในเรียลลิตี้โชว์ไฮโซบ้านนอก ขณะสำรวจบ้านปากก็ยังคอยพูด อี๋ย์ โลว์ ไปได้ซักพัก ทันใดนั้นประตูห้องหนึ่งก็ถูกเปิดออกมา ผู้หญิงอายุประมาณ 30ต้นๆออกจากประตูนั้นมามองกิฟท์นิ่งๆ ...คือกิฟท์ลืมไปหน่ะว่าบ้านที่เธออยู่ จะต้องแชร์กับstaff ด้วย ถือเป็นการสร้างความหมั่นไส้กันไว้ตั้งกะเฟิร์สอิมเพรสชั่นเลย

วันพฤหัสบดีที่ ๓๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

ท่าตะเกียบ



พระอาทิตย์ใกล้จะตกแล้ว เรา ตาหนูเมอร์จึ้ น้องฮูปและพี่เซียง อยู่บนความเร็ว 140 Km/hr จุดหมายคือ 100 กม ห่างจากอำเภอเมืองฉะเชิงเทรา หรือ 180 กม ห่างจากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เชื่อไม๊ ว่าแค่ออกจากกรุงเทพมาชั่วโมง กว่าก็จะเจอกับทิวทัศน์ภูเขายืนเรียงเข้าแถวกันให้ถนนเส้นเล็กๆพาดผ่านตั้งกะหัวไหล่ไปยันตูด ภูเขาได้อย่างงี้

แนะนำตัวละคร

“ตาหนูเมอร์จี้ ” -- รถคู่บุญที่ได้มาจากการดื้อแพ่งกับที่บ้าน บอกแม่ว่าวันนี้ ดิ๊วจะไปทำงานนะ แล้วก็ขับมันออกมาดื้อๆเลย พร้อมกับตั้งปณิธานอย่างแน่วแน่ว่า รถคันนี้เป็นของกูแล้วตั้งชื่อให้ด้วย หลังจากนั้นก็ผจญภัยขึ้นเขาลงห้วยกับมันมาตลอดเรียกได้ว่าเป็นรถเบนซ์ที่ถูกabuseกลายเป็นรถฮีโน่เรนเจอร์ไปซะแล้ว
ชื่อเมอร์จี้ เอามาจาก Mercidez กระแดะดี หิ๊หิ๊ห่าห่า
(หิ๊หิ๊ห่าห่า เป็นคำลิขสิทธิ์ จากแม่นวล ของตาลแม่เค้าว่ามันเป็นเสียงหัวเราะตอแหลlyของสาวญี่ปุ่น เวลาหัวเราะทั่วไปแต่พอเอามาใช้ในภาษาไทยแล้วฮาร์ดคอร์ดีว่ะ ชอบ)


“น้องฮูป” --เป็นฮาร์ปที่เช่ามาจากที่เรียน ราคาเต็มประมาณ แปดหมื่นบาท(นี่เป็นราคาถูกที่สุดในโรงเรียนแล้ว) ตอนนี้ยังเช่าเป็นรายเดือนอยู่สถานะน้องฮูปจึงเป็นเพียงเมียเช่า ราคาเช่าเดือนละ สามพันห้าร้อยบาทเฉลี่ยแล้วก็คืนละร้อยกว่าบาท อาจจะแพงกว่าผีขนุน หน่อยนึงเคยพาเข้าบ้านแล้วดูเหมือนพ่อแม่ยังไม่ค่อยไฟเขียวเพราะเห็นว่าเป็นเพียงเมียเช่า(คงกลัวเราจะขอเงินไปสู่ขอ เค้าเข้าจริงๆ)พอเราย้ายราชการมาอยู่ในป่าเขาเช่นนี้น้องฮูปจึงต้องทำหน้าที่เป็นเมียทหารที่ดี ย้ายตามผัวมาด้วย อ้อน้องฮูปหนักเกือบยี่สิบโล เวลาจะยกย้ายทีหยั่งกะแบกข้าวสารกระสอบใหญ่แหน่ะเพราะงั้นพอคนถามว่าเรามีงานอดิเรกอะไร ก็จะตอบว่า ดนตรีคือเล่นฮาร์ป ส่วนกีฬาก็เล่นฮาร์ป ครับ เล่นฮาร์ปมาเกือบครบปีฝีมือเท่าเดิม แต่ล่ำขึ้นซะงั้น

“พี่เซียง.” – สิ่งมีชีวิตจริงๆเดียวที่อยู่บนรถกับเราขณะนั้นพี่เซียงเป็นนางพยาบาลประจำรพ.ท่าตะเกียบ (ติด)อยู่ที่รพนี้มา 7-8ปีแล้วรอลุ้นคำสั่งย้ายมาทุกปี ตอนนี้ก็เป็นพยาบาลซีเนียร์อยู่ในท่าตะเกียบนี้ถ้ายังอยู่ต่อไปเรื่อยๆ ครองตัวเป็นโสดอย่างนี้ คงไม่พ้น กลายเป็นสุสานหอยพาลจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่เอา

เรารู้จักกับพี่เซียงได้ประมาณ40 นาทีก่อนหน้านี้ที่รพ.เมืองฉะเชิงเทราพี่เซียงขอติดรถกลับเข้ารพ.ท่าตะเกียบด้วยถือเป็นบุญของเราที่ได้คนอาสาสมัครมานำทางอย่างนี้ เพราะ เส้นทางสู่รพ.ตะเกียบมีอุบายหลอกข้าศึกได้อย่างแยบยลหยั่งกะทางขึ้นปราสาทฮิเมจิ ของประเทศญี่ปุ่นถ้าสุ่มสี่สุ่มห้าขับตรงๆบนถนนสายหลักไปแบบบ้านบ้านมิรู้อิโหน่อิเหน่หวังว่าขับตามป้ายบอกทางว่า “รพ ท่าตะเกียบตรงไป” หล่ะก็จะเจอทางขาดที่เป็นเขื่อนมีน้ำท่วมมิดถนนและท่วมมิดคันรถได้เชียว

พี่เซียงเสริมข้อมูลให้ว่าถนนสายหลักนี้จะใช้งานไม่ได้ ประมาณปีละ6เดือนเพราะเขื่อนจะกักน้ำไว้ใช้จนน้ำสูงมาท่วมมิดอย่างนี้เพราะฉะนั้นการจะเข้าถึงรพได้จะต้องใช้เส้นทางเสริม เป็นถนนเล็กๆง่อยๆต้องตั้งสติดีๆถึงจะเห็น โดยถนนนี้จะอ้อมเขาไปอีกประมาณ 10 กิโลเมตรถึงจะถึงโรงพยาบาล เรารู้สึกอยากผ่อนเรือหางยาวซักลำ ไว้ใช้ขับมาทำงานขึ้นมาตะหงิดตะหงิด


เนี่ย ถ้าขับไปตรงๆโง่ๆ จู่ถนนหายกลายเป็นทะเลสาป เฉย




แฮ่....แล้วก็มาถึงจนได้มีวัวอยู่หน้าฮอสปิ ด้วยนะ

พูดถึงขับรถทางไกลอย่างนี้แล้วก็หวาดๆในตัวเองอยู่ เพราะปีนี้ ก็ได้ข่าวเพื่อนทั้งที่อยู่ใกล้ไกล หลายๆคนประสพอุบัติเหตุทางรถยนต์กัน แต่ก็โชคดีที่ไม่ถึงชีวิต ที่หนักๆที่นึกออก ก็มีเรื่องของสมพรที่ขับแหกโค้ง รถกระโปรงหน้ายุบ แต่เจ้าตัวไม่เป็นอะไรมีแค่แขนเคล็ด กับกระดองเต่าบิ่น (ฮา)

อีก 2 เคสเป็นเพื่อนอินเทิร์นที่ทำงานใช้ทุนที่แปดริ้วกับเรา

นางสาว จ .(ขอใช้นามแฝงละกัน ไม่ค่อยสนิท ) จบจากรังสิตจ.เป็นสาวไทยหน้าคมจมูกโด่งเป็นกระโดงเรือ บุคคลิกอัธยาศรัยดีพูดจาไพเราะเป็นที่ต้องใจของหลายๆหนุ่ม ลักษณะนิสัยของจ. ถ้าให้diag ก็น่าจะเป็น typicalสาม ยิ่งเราเคย(เสือกไป) เห็นหนังสืออ่านนอกเวลาของเจ้าหล่อน ชื่อ“คู่มือการมัดใจคน”แล้วยิ่งคอนเฟริมdiagใหญ่ เรากะเพื่อนขาเม้าท์เรียกกันภายใน ว่า “จ. 2ดั้ง”ไม่ใช่ว่าเพราะเจ้าหล่อน เป็นปรมาจารย์สายดำของเทควันโด ยูโด หรือยิวยิตสู ใดๆ แต่เป็นการตั้งตามที่มาจากดั้งจมูกของเธอดั้งแรก เป็นดั้งจมูกธรรมชาติส่วนอีกดั้งเป็นดั้งซิลิโคนจากพลาสติกเซอเจอรี่ (มันไม่ค่อยเนียนอ่ะนะแบบว่าดั้งเป็นดั้ง เห็นเป็นสันเป็นเหลี่ยมเลย ) และแล้ววันหนึ่ง ด้วย curse ofเบญจเพส จ. ก็ประสพอุบัติเหตุขับรถแหกโค้งชนต้นไม้ รถยุบทั้งคันโชคดีที่จ.ได้รับบาดเจ็บเพียงบาดแผลถลอกที่ใบหน้ากับแผลฉีกขาดเล็กน้อย คำแรกที่พวกเราถามถึงเธอเมื่อได้ยินข่าวนี้คือ “แล้วจมูกเค้าเป็นไงมั่ง”ปรากฏว่าจมูกปลอดภัยครับ อุบัติเหตุครั้งนี้ นอกจากจ.จะรอดชีวิตแล้วจ.จึงยังรอดจากการถูก พวกเราเรียก “ จ. สามดั้ง”มาได้อย่างหวุดหวิด

อีกคนหนึ่ง

อุ้ย เป็นอินเทร์นจากมศว.พิษณุโลกลักษณะตัวท้วมใหญ่บุคคลิกลุยๆนักเลง เป็นผู้ที่ถึกเป็นอันดับหนึ่งของอินเทิร์นรุ่นเรา เพราะอุ้ยรับซื้อเวรทุกเวรที่มันว่างโดยไม่สนว่าตัวเองจะต้องมีเวลานอนกินขี้ปี้เยี่ยวใดใด เพื่อจุดมุ่งหมายซื้อบ้านเป็นของตัวเองอุ้ยเล่าว่าตอนเรียนอยู่ มันเคยอดหลับอดนอนแล้วขับรถกลับกรุงเทพ ตามองถนนอยู่ พอกระพริบตาแล้วลืมตาก็เห็นหัวรถปักอยู่ในคูแล้ว …มันยังคงยืนยันว่าไม่ได้หลับใน แค่หลับตาแป๊บเดียว

วันหนึ่ง เราอยู่เวรดึกER พอเริ่มเช้า ประมาณ 7โมงเพื่อนพยาบาลที่อยู่เวรกับเรา ก็เดินมาบอกเราว่า“ดิ๊วๆขับรถไปรับอุ้ยหน่อยสิอุ้ยมันขับรถกลับมาจากการไปอยู่เวร แล้วมันขับรถลงคูอยู่ที่…ตอนนี้ยังติดอยู่ในรถอยู่เลย มันพึ่งโทรมาบอก” เราได้ยินก็ตกใจรีบวิ่งออกจากER (ตามเพื่อนเวรในมาอยู่เวรแทน)ก่อนจะขึ้นรถก็หันไปคว้าอิฐบล็อกขึ้นรถมาด้วย ก้อนใหญ่ก้อนนึงก้อนเล็กขนาดพอดีมือก้อนนึงวาดภาพอย่างเท่ห์ๆ ว่าตอนตัวเองไปถึง คงจะมีไทยมุงแล้วก็มีรถปักอยู่ในหนองน้ำเห็นไอ้อุ้ยพยายามทุบกระจกรถอยู่ข้างในแล้วกะว่าพอไปถึงนะเราก็จะตะโกนเคลียร์ทางพวกไทยมุง“ หลบไป ! ”แล้วก็เขวี้ยงอิฐบล็อกไปที่กระจกรถ กระจกแตก (ถึงได้เอาหินไป2ก้อนเผื่อก้อนเล็กมันจะเบาไป) อุ้ยก็จะพยายามคลานออกมา แข่งกับรถที่กำลังจมเรื่อยๆแล้วก็คลานออกมาทันได้อย่างหวุดหวิดที่รถจมลงไปทั้งคันพอดี( จะยิ่งดีถ้าได้ตะโกนว่า “step back!!” แล้วมีsub thai แปลข้างล่าง แล้วตอนอุ้ยคลานออกมารถก็ระเบิดไล่หลังมาอย่างหวุดหวิด) เราคิดเพ้อเจ้อไป พอขับไปถึงที่เกิดเหตุก็เจอไอ้อุ้ยออกมายืนคนเดียวอยู่ข้างคูเนื้อตัวมอมแมมโคลนเคลือบขาทั้งสองข้างมาถึงเข่า เราแอบสบถในใจ “ เชี่ย!เสือกออกมายืนทำไมเนี่ยมึง”

พอเคลียร์เรื่องประกันเสร็จ อุ้ยก็มาขึ้นรถเรามันก็ถาม นี่หินอะไร“ อ๋อ...ไม่มีอะไร โยนโยนทิ้งไปเหอะ.” (เสียงเคืองๆ)

ทำตัวเป็นบริษัทประกันครับลงไปถ่ายรูปใหญ่เลย เสือกเรื่องชาวบ้าน แล้วยังเอารูปเค้ามาลงบลอกอีก หัวปักลงไปก่อน แล้วตูดถึงบิดไป180องศาถ้าปักใกล้อีก1.5เมตร ก็ชนเสาไฟอันเบิ้มนั้น คาที่!!!




สภาพ ผู้รอดตาย
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ชีวิตผู้ชายขึ้นครูได้ครั้งเดียว แต่ ลงคูได้หลายครั้ง เนอะ


วันอังคารที่ ๒๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

พรีหลูด

ในที่สุดก็ได้เริ่มซะที การทำบลอกดีๆที่เล่าเรื่องราวในชีวิตช่วงสั้นช่วงหนึ่งของชีวิตเรา กะจะให้เป็นบลอกที่มีอายุซัก 3 เดือน ก็พอ
ตั้งใจว่าให้คนอ่านได้ฟีลเหมือนดูดอกไม้ไฟ สว่างประทับตาในชั่วอึดใจ แล้วดับไปแต่ตราตรึง


การทำบลอกถือเป็นหนึ่งในร้อยแปดโปรเจ็กค์ของเด็กทริปปิค่อลลักษณ์เจ็ดอย่างเรา
(อ่านคำอธิบายเรื่อง ลักษณ์ ได้จาก เอนเนียแกรม เป็นลิงค์ไปบลอกของดีดีหน่ะ ดีดีเขียนอธิบายไว้ได้เข้าใจง่ายรวบรัดดี ด้วยความเป็นเจ็ดของดีดี้ ดีดี้ก็เลยอนุญาตให้เราทำลิงค์ไปได้ ขอบคุณครับ แนะนำให้คนที่ยังไม่รู้ ไปอ่านไว้ซะ เพราะ เราคงพูดถึงอีกบ่อยๆอ่ะ )

สัญญาฝนไว้ว่าจะทำบลอกให้อ่าน มาตั้ง 3 เดือนแล้ว แต่แรงบันดาลใจในการทำบลอกของเราก็เหมือน ดอกไม้ไฟ อะนะ สว่างบรรเจิดขึ้นมาในชั่วอึดใจแล้วมอดไปในพริบตา
เพราะงั้นไม่ต้องแปลกใจหรอกฝน ที่เราไม่ได้ออนmsnมา2เดือนหน่ะ เพราะจะหนีหน้าเธอจริงๆหน่ะแหละ อืม

อย่างที่ว่า บลอกนี้เราตั้งใจทำเพื่อเอนเตอร์เทน ฝน โดยเฉพาะ เนื่องจากความรู้สึกกิ๊ล์ท เดิม เพราะ
เราเคยมีโปรเจกค์นึง ( รู้สึกจะเป็นโปรเจกค์หมายเลข 69.2ข ) ว่าจะทำหนังสือทำมือ เล่มนึง ให้ฝน เอาไปอ่าน แก้เหงาที่เมืองนอก ให้ค่อยๆเปิดอ่าน เดือนละตอน เดือนละตอน ….

เป็นโปรเจกค์ที่ฟังดูโรแมนทิคดีแมะ
และแล้ว วันแล้ววันเล่า … จนฝนมีแฟน ช่วยดับร้อนผ่อนเหงา ได้บ้างแล้ว ….. เราก็ยังไม่เริ่มเขียนหนังสือ
วันแล้ววันเล่า จนฝนเรียนจบมีงานทำชีวิตเฮฮาปาจิงโกะ ไม่น่าจะเหงาแล้ว …... เราก็ยังไม่เริ่มเขียนหนังสือ
วันแล้ววันเล่า ก่อนที่ฝนจะมีลูกแก้เหงา หรือ กลับมาประเทศไทย แล้วด่า “ แกจะให้กระดาษปึกนี้ไว้ให้ชั้นเช็ดตูดลูกเหรอยะ ”
เราก็ตัดสินใจคลอดบลอกนี้ขึ้นมา (เกือบตายทั้งกลมแล้วนะมึง) (และฝนก็จะได้ไม่สามารถเอาจอคอมไปเช็ดตูดลูกได้ด้วย)

ฝนเป็นแรงบันดาลใจให้เราทำบลอกนี้ แต่เราเขียนบลอกนี้โดยเห็นหน้าเพื่อนๆของเราทั้งเพื่อนบดินทร เพื่อนรามา เพื่อนแปดริ้ว และเพื่อนอันคลาสลิฟาย ขณะกำลังอ่านบลอกของเราอยู่เหมือนฟังเราเล่าเรื่องนู่นเรื่องนี่(ที่พวกแกมักจะโดนเรายัดเยียดเล่าให้ฟังเสมอ) เพราะงั้นเราจะดีใจมาก ถ้ามีเพื่อนๆให้ความสนใจ คอยติดตามอ่านบลอกนี้ต่อ นะ นะ นะ




อย่างที่บอกว่า จะพยายามอัพเดทสัปดาห์ละครั้งให้ได้ซัก3เดือนเพราะเรื่องของบลอกนี้ จะว่าด้วยชีวิตของเราขณะที่อยู่ที่ท่าตะเกียบเป็นเวลาสามเดือนหน่ะ ดูมีคอนเซปต์ดี (ทำพูดไปงั้น ที่จริงเป็นเพราะสันดานตัวเอง ให้จดจ่อสมาธิทำอะไรนานๆไม่ได้อยู่แล้ว)

ถ้าบลอกที่เราทำขึ้นมา ได้เอนเตอร์เทนผู้อ่าน ให้ได้ยิ้ม ได้มีความสุขไม่ว่าจะน้อยหรือมากแค่ไหน ก็ตาม เราขอผลกุศลนี้ ให้เป็นพลังกำลังใจ แก่แม่ของปลา ให้เป็นพลังช่วยต่อ แรงหายใจ ในแต่ละวัน แก่แม่ หรือ ให้ผลกุศลช่วยนำให้มีเรื่องดีดี ให้แม่ได้ยิ้ม หรือหัวเราะได้ แม้จะเป็นเพียงเปลือกนอก ก็ยังดี นะครับ



เอ๊ะ ทำไมรุ้สึกเหมือนกล่าวจบพิธี ยังงั้นหล่ะ พึ่งเริ่มเปิดบลอกนี่หว่า